บทความนี้จะมาแนะนำการใช้ Excel คำนวณเกรดด้วยฟังก์ชัน if ซ้อน if ซึ่งบทความก่อนหน้านี้ผมได้แนะนำการใช้ฟังก์ชัน if กันไปแล้ว 2 บทความ การใช้ฟังก์ชัน if ใน Excel เบื้องต้น และ การใช้ฟังก์ชัน if ซ้อน if ใน Excel บทความนี้เราจะมาลองนำฟังก์ชัน if ไปใช้งานจริงกันครับ
ก่อนอื่นเรามาดูเงื่อนไขในการตัดเกรดก่อนครับว่าช่วงคะแนนเท่าไหร่ได้เกรดไหน
1. ตั้งแต่ 80 คะแนนขึ้นไปได้เกรด 4
2. ตั้งแต่ 70 ถึง 79 คะแนน ได้เกรด 3
3. ตั้งแต่ 60 ถึง 69 คะแนน ได้เกรด 2
4. ตั้งแต่ 50 ถึง 59 คะแนน ได้เกรด 1
5. สุดท้ายน้อยกว่า 50 ได้เกรด 0
ตัวอย่างตารางคะแนนที่เราจะนำมาทดลองสร้างสูตรตัดเกรดด้วยฟังก์ชัน if ซ้อน if กันครับ จะมีด้วยกันทั้งหมด 5 คนจะมีคะแนนแตกต่างกันออกไปตามภาพด้านล่างครับ
คลิกที่เซลล์ D2 ครับแล้วใส่สูตร if ตามด้านล่างนี้ครับ สูตรผมไม่ขอไม่อธิบายนะครับ เพราะอธิบายไว้แล้วที่ การใช้ฟังก์ชัน if ซ้อน if ใน Excel
=IF(C2>=80,"4",IF(C2>=70,"3",IF(C2>=60,"2",IF(C2>=50,"1","0"))))
คัดลอกสูตรไปแล้วทำการแก้ไขเซลล์จาก C2 เป็นเซลล์ที่เก็บคะแนนตามต้องการ แล้วกด Enter จากนั้นทำการลากสูตรลงข่างล่างได้เลยครับจะได้ผลดังภาพ
แต่ถ้าคะแนนมีทศนิยมด้วย ก่อนที่จะนำค่าจาก C2 มาตัดเกรดด้วยฟังก์ชัน if ต้องใช้ฟังก์ชัน Round() เพื่อปัดเศษให้เป็นจำนวนเต็มก่อนนะครับ ให้ใช้สูตรดังนี้ครับ
=IF(ROUND(C2,0)>=80,"4",IF(ROUND(C2,0)>=70,"3",IF(ROUND(C2,0)>=60,"2",IF(ROUND(C2,0)>=50,"1","0"))))
จากสูตรจะเป็นว่าเราตัดเกรดด้วยฟังก์ชัน if แค่ 5 ระดับ สูตรจะค่อนข้างจะซับซ้อน ทำความเข้าใจยาก ยิ่งถ้ามีระดับการตัดเกรดที่มีหลายระดับกว่านี้สูตรก็จะซับซ้อนขึ้นไปอีก แต่เรามีวิธีที่ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นครับ ไว้ติดตามกันในบทความหน้าครับ อ่านบทความใหม่ที่นี่ครับ Excel ตัดเกรดด้วยฟังก์ชัน VLOOKUP ถ้าเห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์รบกวนกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยนะครับ และถ้าต้องการติดตามอ่านบทความของเราอย่างต่อเนื่องก็สามารถติดตามได้ที่เพจครับ Facebook.com/sara2udotcom